19 มิถุนายน 2562
1. นับวันปัญหาเรื่องสุขภาพของคนเราจะเป็นปัญหาที่คุกคามทุกคนมากขึ้น เนื่องจากอาหาร อากาศ น้ำ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีความเป็นพิษมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในความเป็นไปทั้งปวงของชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาหาร (ซึ่งรวมถึงอากาศและน้ำ) คือเหตุปัจจัยความเป็นไปทั้งปวงของกายนี้ โรคทั้งหลายเป็นผล การกิน การดื่ม และอากาศเป็นเหตุ จะให้ผลอย่างไรก็ต้องสร้างเหตุอย่างนั้น อยากมีสุขภาพอนามัยดีก็ต้องอย่ากิน อย่าดื่ม ในสิ่งที่เป็นพิษ นี่คือหลักการพื้นฐานของชีวิต
2. ผมติดตามเรื่องสุขภาพของพวกเรามาด้วยความเอาใจใส่ และได้พยายามแนะนำ ปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพอนามัยที่ดี แต่พวกเรายังคงดูเบาเรื่องนี้อยู่มาก บางคนอ้วนเกิน บางคนผอมเกิน บางคนเครียดเกิน บางคนปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมเร็วเกินไป จนเห็นได้ชัดว่ายากจะมีอายุขัยไปถึง 100 ปี หรือเกือบ 100 ปีได้ ทุกคนเป็นทรัพยากรสำคัญของธรรมนิติ หาได้มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองอย่างเดียวไม่ หากยังมีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัว สังคม และครอบครัวใหญ่คือธรรมนิติและชาติบ้านเมืองด้วย
3. ได้ยินมาว่าพวกเราบางคนดื่มน้ำน้อยเกินไป บ้างอ้างว่างานยุ่ง บ้างอ้างว่าขี้เกียจไปห้องน้ำ นี่คือการดูเบาต่อสุขภาพและชีวิตตนเอง คนเรามีร่างกายที่ประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับโลกธรรมชาติ มีความจำเป็นต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หากดื่มน้อยกว่านี้จะมีปัญหาต่อสุขภาพ ชนิดที่คาดคิดไม่ถึง
คนเรามีเลือดเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต เลือดข้น เลือดใส เลือดผิดปกติ ทำให้สุขภาพอนามัยไม่ดี ทำให้อายุสั้น ในทุก 3 นาที เลือดทั่วร่างกายจะไหลเวียนผ่านตับ และผ่านการกลั่นกรองที่ไต เป็นกระบวนการเพื่อฟอกเลือดให้เป็นปกติ ไม่ให้มีความผิดปกติเกิดขึ้น และกำจัดสิ่งที่เป็นพิษออกไปทางอุจจาระและปัสสาวะ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยน้ำที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยกว่าวันละ 1.5 ลิตร หากดื่มน้ำน้อยกว่านี้ชีวิตก็จะเดินไปสู่ความวิกฤตโดยลำดับเพราะนี่คือการทำลายกระบวนการฟอกและไหลเวียนของเลือดโดยตรง เมื่อเลือดไม่ปกติ สุขภาพอนามัยและร่างกายก็ไม่ปกติ โรคจำนวนมากเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ จึงอยากให้ทุกคนที่มีความคิด มีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้องขึ้น และต้องถือว่าจะต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1.5 ลิตรในทุกวัน มากกว่านี้ได้ แต่อย่าให้มากเกิน น้อยกว่านี้ไม่ได้ เพราะนั่นคือการทำลายสุขภาพและชีวิตโดยตรง
น้ำที่สะอาด กับน้ำที่ไม่สะอาด ให้คุณค่าต่างกัน น้ำบางชนิดเช่นน้ำ MRET มีคุณต่อสุขภาพและชีวิตมาก บางคนดื่มปีสองปีแล้วเลิกดื่ม ด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นว่าเป็นอะไร ก็นั่นไม่ใช่หรือคืออานิสงส์ของการดื่มน้ำ มิฉะนั้นแล้วอาจ “เป็นอะไร” ก็ได้ เราอยากให้ร่างกายชีวิตเรานี้ “เป็นอะไร” อย่างนั้นหรือ ความไม่เป็นอะไรนั่นแหละคือลาภอันประเสริฐของชีวิตนี้
4. อนึ่ง อากาศที่ไม่พอเพียงก็ดี หรือมีมลภาวะเป็นพิษก็ดี ทำให้เลือดจาง เม็ดเลือดน้อยกว่าปกติได้ ทำให้ร่างกายซูบซีดอ่อนแอ ผมเรียกร้องต้องการให้พวกเราพยายามเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์เสียบ้าง อย่าคิดว่าการเปิดเครื่องปรับอากาศจะทำให้อากาศบริสุทธิ์ได้ เพราะระบบเครื่องปรับอากาศที่ว่าดีก็มีอากาศใหม่เข้ามาเพียงไม่เกิน 30% ดังนั้นคนเราจึงหายใจเอาอากาศเก่าเข้าไป นึกดูเอาเถิดว่าเหมือนกับเรากินอ้วกหรืออาเจียนของเราเข้าไปใหม่หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องช่วยกันเปิดประตูหน้าต่างที่ทำงานให้อากาศใหม่เข้าไปทดแทนบ้าง อย่ามัวแต่ “กินอ้วก กินอาเจียน” ซ้ำซากนักเลย
พวกเราคนไหนที่รู้สึกว่าเลือดจาง ซีด อ่อนระโหยโรยแรง ก็พึงรู้เถิดว่าเม็ดเลือดกำลังผิดปกติแล้ว การกินยาแผนปัจจุบันมากนักย่อมมีผลข้างเคียง ผมขอแนะนำธรรมชาติโอสถที่ธรรมชาติประทานมาให้ แต่ไม่สนใจกัน นี่คือเทพสุริยันต์โอสถที่ก่อกำเนิดและมีพลังสุริยันต์มากที่สุด นั่นคือยอดผัก 3 ชนิด ได้แก่ ยอดตำลึง ยอดกระถิน และยอดฟักทอง นำยอดผักนี้แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ต้มจืดกับหมูสับ โดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น กินสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็จะเพิ่มเม็ดเลือดให้เป็นปกติได้ สำหรับคนป่วยที่เกล็ดเลือดลดลงรวดเร็วใกล้ช็อคหรือใกล้ตายไม่ว่าด้วยเหตุโรคใด ๆ ให้กินแกงจืดยอดตำลึง ยอดกระถิน และยอดฟักทอง สลับสับเปลี่ยนกันไปเถิดจะเกิดผลแน่
5. ในสมัยสามก๊ก เมื่อตอนโจโฉจะเข้าเมืองฮูโต๋ใหม่ ๆ ได้เห็นขุนนางเก่าคนหนึ่งอ้วนท้วนผ่องใส นัยน์ตาแววเป็นประกาย ในขณะที่แผ่นดินขาดแคลนข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า โจโฉเข้าใจว่าขุนนางผู้นี้คงกินสินบาทคาดสินบนคอร์รัปชั่นจนพุงกาง จึงเรียกขุนนางนี้มาถามว่าแผ่นดินเดือดร้อนเป็นจลาจล ผู้คนอดอยาก เจ้าเป็นขุนนางไฉนจึงอ้วนฉุเช่นนี้เล่า ขุนนางผู้นี้ฟังคำโจโฉก็เข้าใจได้ว่าโจโฉพูดประชดเพื่อจะหาเหตุลงโทษ จึงตอบว่าท่านสมุหนายกสำคัญผิดแล้ว ข้าพเจ้านี้ก็เหมือนกับชาวเมืองทุกผู้คน แต่ข้าพเจ้ามีวิธีกินอาหารแบบเทวดา จึงสามารถมีสุขภาพอนามัยที่ผ่องใสดีกว่าคนทั้งปวง โจโฉถามว่าเจ้ากินอาหารเทวดาอย่างไร ขุนนางนั้นตอบว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมา ข้าพเจ้ากินอาหารที่ไม่ปรุงแต่งใด ๆ ไม่ปรุงรสใด ๆ เลย นั่นคืออาหารต้มก็ใส่น้ำเฉย ๆ ไม่ปรุงรสชาติ ไม่ใส่เครื่องชูรส อาหารนึ่งก็นึ่งเฉย ๆ ไม่ว่าผักหรือปลา อาหารทอดก็ทอดน้ำมันเฉย ๆ จะผัดก็ผัดน้ำมันเปล่า ๆ ใส่น้ำบ้างก็ตามประเภทของอาหาร โจโฉฟังอย่างสนใจ ขุนนางนั้นจึงแนะนำให้โจโฉกินอาหารเทวดาแบบนี้จะได้มีสุขภาพอนามัยที่ดีดังนี้ แต่ปัจจุบันนี้คนเรากินอาหารปรุงรสมากเกินไป นั่นคือการปรุงยาพิษให้กับร่างกายตามขนาดมากและน้อยของการปรุงรสนั่นเอง ยิ่งใส่ผงชูรสมากด้วยแล้ว ยิ่งใส่น้ำมันหอยมากด้วยแล้ว ล้วนเป็นการทำลายระบบการย่อยอาหารทั้งสิ้น
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ก็เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ว่าน้ำจิ้มถ้วยเล็ก ๆ นั่นแหละตัวดีนัก เป็นตัวทำลายสุขภาพ ไม่ต่างกับยาพิษเท่าใดดอก
ขอให้พวกเราพิจารณาศึกษาใคร่ครวญและนำไปปฏิบัติจงทั่วกัน.