13 มิถุนายน 2562
ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย เป็นสองสิ่งที่เรามักเจอในเรื่องการทำบัญชี แต่ทั้ง 2 ค่านี้มีความเหมือนกันหรือไม่ ต้องติดตามกันครับ
ค่าเสื่อม (Depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (Amortization) เกิดจากสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป คือค่าประมาณการว่าสินทรัพย์นั้นจะ “เสื่อมราคา” ลงไป จนถึง ณ.วันที่คาดว่าจะหมดอายุการใช้งาน เป็นรายการที่ทางบัญชีให้บริษัทสามารถกระจายมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินการบริษัท ออกเป็นค่าใช้จ่าย ตามจำนวนปีที่คาดว่าสินทรัพย์นั้นจะใช้งานได้
ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายต่างกันอย่างไร?
• ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) ใช้กับสินทรัพย์ที่มีตัวตน เช่น อาคาร อุปกรณ์
• ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิการเช่า ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา
ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายถือเป็นค่าใช้จ่ายหรือไม่?
ถือเป็นค่าใช้จ่าย แม้จะเป็นรายจ่ายที่ไม่ได้มีการจ่ายออกเป็นเงินสด บริษัทที่ตัดค่าเสื่อมน้อยเกินไป อนาคตสินทรัพย์อาจหมดอายุการใช้งานก่อนที่ค่าเสื่อมจะตัดจำหน่ายหมด ทำให้สินทรัพย์ และการกระจ่ายค่าใช้จ่ายไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่วนบริษัทที่ตัดค่าเสื่อมมากเกินไป ค่าเสื่อมอาจหมดก่อนที่สินทรัพย์จะหมดอายุ ทำให้บริษัทเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงเกินจริง และส่งผลต่อผลกำไรของบริษัทได้
วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา
การคิดหาค่าเสื่อมราคา มีหลายวิธีแต่วิธีที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ วิธีแบบเส้นตรง หรือวิธีที่ใช้การกระจายค่าเสื่อมออกเท่า ๆ กันทุกปี ตลอดช่วงอายุการใช้งาน
ค่าเสื่อม = มูลค่า ณ.วันซื้อ – มูลค่า ณ.วันสิ้นอายุ
___________________________
จำนวนปีที่คาดว่าจะใช้การได้
ตัวอย่างเช่น
หากบริษัทซื้อรถมา 1 คันเพื่อใช้ในกิจการบริษัท ราคา 2 ล้านบาท คาดว่า ถจะมีอายุการใช้งาน 5 ปี มูลค่ารถมือสองอายุ 5 ปีราคา 5 แสนบาท
ค่าเสื่อมราคา แบบเส้นตรง คำนวณโดย
ค่าเสื่อม = มูลค่า ณ.วันซื้อ – มูลค่า ณ.วันสิ้นอายุ
______________________________________
จำนวนปีที่คาดว่าจะใช้การได้
= 2,000,000 – 500,000
_________________ = 300,000 บาทต่อปี
5
*มูลค่า ณ.วันสิ้นอายุ คือมูลค่าประมาณการของสินทรัพย์ที่คาดว่าจะขายได้ ในวันที่สินทรัพย์สิ้นอายุการใช้งาน หรือเรียกอีกอย่างว่า ค่าซาก