สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint)
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint) นอกจากจะมาใช้เป็นเครื่องมือในการวัด และประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่การวางแผนและดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ ในการกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านภาษีให้กับองค์กร และบุคคลที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อลดการใช้พลังงานและทรัพยากร
ตัวอย่างสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนฟุต พริ้นท์ (carbon footprint) ได้แก่
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
– สิทธิประโยชน์การหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
– สิทธิประโยชน์การหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์พลังงานสะอาด
– สิทธิประโยชน์การหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาพลังงานสะอาด
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
– สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
– ภาษีสรรพสามิต
– สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
รูปแบบของการจัดเก็บภาษีคาร์บอน
ภาษีคาร์บอน จัดเก็บจากกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคำนวณจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น
– ภาษีคาร์บอนโดยตรง (Direct Carbon Tax) :
เป็นการเรียกเก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยตรง เช่น การเรียกเก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้า
– ภาษีคาร์บอนทางอ้อม (Indirect Carbon Tax) :
เป็นการเรียกเก็บภาษีจากสินค้าหรือบริการที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิง
– ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) :
เป็นการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีปริมาณการปล่อยมากกว่าที่กำหนดจะต้องซื้อสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าที่กำหนด