23 กุมภาพันธ์ 2565
การกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินไม่ใช่แค่การกู้กับธนาคารเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่น ๆ เช่น บุคคลทั่วไป คนใกล้ชิด หรือเพื่อน หากมีจำนวนเงินมากกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป และมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ภายใต้กฎหมายกำหนดจำเป็นจะต้องทำ “สัญญาเงินกู้”
สัญญาเงินกู้
เป็นหลักฐานหนึ่งที่ใช้ประกอบการกู้ ซึ่งเกิดจาก “ผู้กู้” และ “ผู้ให้กู้” เป็นเอกสารที่สามารถยืนยันได้ว่า คน ๆ หนึ่งได้ทำสัญญาว่า “กู้ยืมเงินกัน” มาเป็นจำนวนเท่าไหร่ มีอัตราดอกเบี้ยอย่างไร และผู้กู้จะใช้คืนภายในเวลาใด หากมีฝ่ายใดกระทำผิด อีกฝ่ายมีสิทธิ์ดำเนินการตามกฎหมายได้
การกู้ยืมจะมีผลต่อเมื่อ “มีการส่งมอบเงิน” ให้แก่ผู้ยืมและสัญญาจะมีผลบังคับใช้ได้ทันที เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงลงนามยินยอมในสัญญา
สัญญาเงินกู้ = สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
• ผู้ให้กู้โอนกรรมสิทธิ์ในเงินนั้นให้แก่ผู้ยืม
• ผู้ยืมต้องคืนเงินจำนวนเท่ากันให้แทนเงินที่ยืมไป
• สัญญายืมเงินสมบูรณ์เมื่อส่งมอบเงินที่ยืม
สัญญากู้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระ
ผู้ให้กู้เรียกให้ผู้กู้ชำระเงินได้ทันที ตามมาตรา 203
สัญญากู้มีกำหนดระยะเวลา
ผู้ให้กู้จะเรียกให้ผู้กู้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดไม่ได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้กู้ถึงแก่ความตาย เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องทายาทของผู้กู้ได้ทันทีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความตายของลูกหนี้ ตามมาตรา 1754
ข้อกำหนดในการทำสัญญาเงินกู้
• ระบุจำนวนเงินต้นที่กู้ยืมให้ชัดเจน
ต้องมีความชัดเจน ไม่กำกวม ทั้งในรูปแบบตัวเลขและตัวอักษร
• ระบุอัตราดอกเบี้ย
ระบุอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจน เพื่อความเป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย
• ระยะเวลาในการชำระหนี้
ผู้ชำระหนี้ต้องชำระภายในวันใด เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องระบุไว้ในสัญญาเพราะเป็นหลักฐานสำคัญในการฟ้องร้องเอาความได้
• วันที่ทำสัญญา
เป็นส่วนที่กำหนดว่า ระยะเวลาใดคือวันที่เริ่มต้นกู้ยืมเงิน
• พยานในการกู้ยืมเงิน
ข้อกำหนดหรือรายละเอียดในการกู้ยืมเงิน ต้องมีพยานจากทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อยืนยันว่าสัญญาที่ทำขึ้นมีความเป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย
• ลายมือชื่อผู้กู้และผู้ให้กู้
เพื่อยืนยันว่าบุคคลนั้น ๆ ทำการกู้และให้กู้ด้วยตนเอง
โครงสร้างของสัญญาเงินกู้ แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.ส่วนนำ ประกอบด้วย
• ชื่อสัญญา
• สถานที่ทำสัญญา
• วันที่ทำสัญญา
• ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา
2.ส่วนเนื้อหาประกอบด้วย
• วัตถุประสงค์ในสัญญา
• ดอกเบี้ย
• กำหนดการชำระหนี้
• ผลของการผิดนัดชำระหนี้
3.ส่วนลงท้าย ประกอบด้วย
• ข้อความส่วนท้ายของสัญญาดอกเบี้ย
• ลายมือชื่อของคู่สัญญา
• พยานในการทำสัญญา
อัตราดอกเบี้ย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654
ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดที่ผู้ให้กู้สามารถเรียกได้ คือ ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 1.25 ต่อเดือน หากเกินที่กฎหมายกำหนด ดอกเบี้ยจะเป็นโมฆะ แต่เงินต้นยังคงสมบูรณ์
กรณีกำหนดดอกเบี้ยไว้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีผลดังนี้
• เป็นความผิดอาญาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
• ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด
ฟ้องบังคับคดีไม่ได้ (เงินต้นยังคงสมบูรณ์)
• ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมชำระไปแล้ว
ไม่สามารถเรียกคืนไม่ได้
• ดอกเบี้ยผิดนัด ผู้ให้กู้ยืมยังคงบังคับได้
แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะตกเป็นโมฆะ