31 พฤษภาคม 2564
กฎหมายคุ้มครองแรงงานมุ่งประสงค์ให้ความคุ้มครองลูกจ้างในสองประการหลัก ได้แก่ คุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างประการหนึ่งและคุ้มครองรายได้ของลูกจ้างอีกประการหนึ่ง ในส่วนการคุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน การกำหนดเวลาทำงานปกติ ในการทำงานของลูกจ้าง ตอบสนองความคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เพราะยิ่งลูกจ้างทำงานมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการประสบอันตรายและเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น
การกำหนดเวลาทำงานปกติในอดีต
แต่เดิมตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฉบับลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 3 กำหนดเวลาทำงานปกติ โดยถือตามประเภทของอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่กำหนดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ กล่าวคือ
- งานอุตสาหกรรม ไม่เกินสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง
- งานขนส่ง ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง
- งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ไม่เกิน สัปดาห์ละ 42 ชั่วโมง
- งานพาณิชยกรรมและงานอื่น ๆ ไม่เกินสัปดาห์ละ 42 ชั่วโมง
จะเห็นได้ว่า การกำหนดเวลาทำงานปกติโดยใช้เกณฑ์ต่อสัปดาห์อาจไม่คุ้มครองลูกจ้างตามความเป็นจริงเพราะนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานต่อวันมีชั่วโมงการทำงานมากเกินสมควรได้
การกำหนดเวลาทำงานปกติในปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อออกพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้าง นอกจากใช้เกณฑ์ชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์แล้ว ยังใช้เกณฑ์ชั่วโมงการทำงานต่อวันมาใช้ด้วย โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 23 กำหนดให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติ (Regular Working Times) ประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบ ถึงเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกินเวลาทำงานของแต่ละประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง และสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งต่อมากระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ข้อ 1 กำหนดให้งานทุกประเภทมีเวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง
ผลจึงเป็นว่า โดยทั่วไปนายจ้างต้องประกาศกำหนดเวลาทำงานปกติ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน ในทุกประเภทงานวันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง สัปดาห์หนึ่งรวมแล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น บริษัท เค็มสุด จำกัด อาจกำหนด เวลาทำงานปกติของบริษัทฯ ระหว่าง 8.30 นาฬิกา ถึง 17.30 นาฬิกา พักระหว่าง 12.30 นาฬิกา และ 13.30 นาฬิกาได้
สำหรับงานอื่นบางงานนอกจากนี้ มีข้อยกเว้นไว้เป็นการเฉพาะ ได้แก่
- งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง พระราช บัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 23 กำหนดให้นายจ้างจัดให้มี มีเวลาทำงานปกติ วันละไม่เกิน 7 ชั่วโมงและสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับ 2 ข้อ 2 กำหนด
- งานขนส่งทางบก กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 ข้อ 2 กำหนดให้นายจ้างกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานวันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้กรณีลูกจ้างทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะ ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานในวันถัดไปก่อนครบระยะ 10 ชั่วโมง หลังจากสิ้นสุดการทำงานในวันทำงานที่ล่วงมาแล้ว
- งานปีโตรเคมี ตามกฎหมายว่าด้วยปีโตรเลียม รวมทั้งงานซ่อมบำรุงและงานให้บริการเกี่ยวเนื่องกับงานดังกล่าว เฉพาะที่ทำในแปลงสำรวจและพื้นที่ผลิต กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 1 (1) ซึ่งแก้ไขโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 13 ข้อ 1 กำหนดว่านายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 12 ชั่วโมงได้ แต่สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง
ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงาน นายจ้างไม่อาจกำหนดเวลาทำงานปกติ คือกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดในการทำงานแต่ละวันไม่ได้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 23 วรรคสอง ผ่อนปรนให้นายจ้างกำหนดเป็นชั่วโมงทำงานปกติ(Regular Working Hour) โดยไม่ต้องกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน แต่กำหนดเป็นจำนวนชั่วโมงทำงานที่ลูกจ้างต้องทำงานเป็นปกติในแต่ละวันแทนก็ได้ แต่การกำหนดชั่วโมงทำงานปกตินี้ก็ต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันและเกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น นายจ้างประกอบกิจการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ ต้องรับสัตว์น้ำจากเรือประมงที่เข้าเทียบท่าในช่วงเช้ามืด ซึ่งเวลาเข้าเทียบท่าไม่แน่นอน จึงกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานที่ชัดเจนไม่ได้ กรณีนี้นายจ้างอาจกำหนดเป็นชั่วโมงทำงานปกติในแต่ละวัน วันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง นับแต่เริ่มลงมือทำงาน และทำงานสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 48 ชั่วโมงได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีสถานประกอบการจำนวนหนึ่งที่ต้องการทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น ในงานบริการ นายจ้างต้องการกำหนดให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 9 ชั่วโมง ถือว่าขัดต่อมาตรา 23 เพราะแม้ว่าจะมีเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์ไม่เกิน 48 ชั่วโมงก็ตาม แต่การทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมงไม่ได้
ต่อมากระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 2 มายกเว้น โดยกำหนดให้งานที่ใช้วิชาชีพ วิชาการ งานด้านบริหารและงานจัดการ งานเสมียนพนักงาน งานอาชีพเกี่ยวกับการค้า งานอาชีพด้านบริการ งานที่เกี่ยวกับการผลิตหรืองานที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าว นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติในวันหนึ่งๆเกินกว่า 8 ชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์แล้ว ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นได้ว่างานที่กำหนดในกฎกระทรวงครอบคลุมการทำงานแทบทุกประเภท จึงมีสถานประกอบการจำนวนหนึ่งที่กำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 13 ข้อ 2 ยังกำหนดให้นายจ้างที่กำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง นอกจากนายจ้างมีหน้าที่จ่าย ค่าจ้างสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมงแล้ว ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติสำหรับชั่วโมงที่เกินกว่า 8 ชั่วโมงให้แก่ลูกจ้างที่ไม่ใช่รายเดือน เช่น ลูกจ้างรายชั่วโมง ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงาน เช่น นายจ้างงานบริการกำหนดเวลาทำงานดังกล่าวมาข้างต้น แม้นายจ้างสามารถกำหนดเวลาวันละ 9 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วันโดยอาศัยกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 2 ได้ก็ตาม แต่สำหรับลูกจ้างที่มิใช่ลูกจ้างรายเดือน เช่น ลูกจ้างรายวัน ฯลฯ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติต่อชั่วโมง สำหรับการทำงานชั่วโมงที่ 9 ให้แก่ลูกจ้างประเภทนี้ด้วย แต่ถ้าเป็นลูกจ้างรายเดือน นายจ้างให้ทำงานวันละ 9 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วันได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน 1.5 เท่า สำหรับการทำงานชั่วโมงที่ 9 ได้
การกำหนดเวลาทำงานปกติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
ในปี 2551 ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กำหนดเวลาทำงานปกติแตกต่างไปจากเดิม โดยมาตรา 23 ใหม่กำหนดว่า “ ให้นายจ้างประกาศเวลาทำงานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันได้ไม่เกินเวลาทำงานของแต่ละประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกินแปดชั่วโมง ในกรณีที่เวลาทำงานวันใดน้อยกว่าแปดชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละเก้าชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบสองชั่วโมง
ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นตามวรรคหนึ่งเกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างรายวันและลูกจ้างรายชั่วโมงหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน
ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกินแปดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง”
จะเห็นได้ว่า การกำหนดเวลาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานปี 2551 เปลี่ยนหลักเกณฑ์ในเรื่องเวลาทำงานปกติไม่มากนัก กล่าวคือ กฎหมายปี 2551 ยังคงกำหนด เวลาทำงานปกติ โดยนายจ้างจะต้องประกาศแจ้งเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน วันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมงและสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 48 ชั่วโมง สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง หากนายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกิน 8 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงเช่นเดียวกันกับกฎหมายปี 2541
ส่วนที่แตกต่างเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ก็คือ ในกรณีที่เวลาทำงานวันใด นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่า 8 ชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละ 9 ชั่วโมง กระทรวงแรงงานได้ออกคำชี้แจงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ยกตัวอย่างไว้ว่า หากนายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติไว้วันละ 8 ชั่วโมง แต่เมื่อให้ลูกจ้างทำงานได้ 6 ชั่วโมง จะเริ่มทำงานชั่วโมงที่ 7 เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมไฟฟ้าดับ จนเป็นเหตุให้เครื่องจักรไม่สามารถทำงานต่อไปได้ กรณีเช่นนี้ นายจ้างอาจให้ลูกจ้างเลิกงานในวันนั้น(ทำงานในวันนั้นเพียง 6 ชั่วโมง) และอาจตกลงกับลูกจ้างให้นำชั่วโมงการทำงานที่เหลืออยู่อีก 2 ชั่วโมง ไปรวมกับเวลาทำงานปกติในวันรุ่งขึ้นได้อีก 1 ชั่วโมง และในวันทำงานปกติถัดไปได้อีก 1 ชั่วโมง
ในกรณีที่มีการนำเวลาส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่น นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าตอบแทนสำหรับชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ ให้แก่ลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมง และลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ทำนองเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงฉบับ 13 ข้อ 2 นั่นเอง กรณีนี้กระทรวงแรงงานได้ยกตัวอย่างไว้ในคำชี้แจงว่า
บริษัท หอยขม จำกัด นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติตั้งแต่ 08.00 นาฬิกา ถึง 17.00 นาฬิกา เวลาพักระหว่าง 12.00 นาฬิกา ถึง 13.00 นาฬิกา ปรากฏว่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 เวลา 16.00 นาฬิกา เกิดเหตุฝนตกหนัก น้ำท่วม ไฟฟ้าดับ จนเป็นเหตุให้เครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้ บริษัทฯจึงให้ลูกจ้างกลับบ้านทันที และหากนายจ้างตกลงกับลูกจ้างที่จะนำชั่วโมงการทำงานที่เหลืออีก 1 ชั่วโมง ไปรวมกับเวลาทำงานปกติของวันรุ่งขึ้น ดังนี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานในชั่วโมงที่ 9 ของวันรุ่งขึ้น ไม่น้อยกว่าอัตรา 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงให้แก่ลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมงและลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน แต่ลูกจ้างรายเดือนไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้
บทสรุป
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป มีความวิตกกังวลค่อนข้างมากในหมู่ฝ่ายจัดการของสถานประกอบกิจการ ปัญหาใหญ่ที่สุด คือ ความชัดเจนของกฎหมายใหม่ เนื่องจากกฎหมายใหม่ยังมีถ้อยคำที่ต้องอาศัยการแปลความหรือตีความค่อนข้างมาก กฎหมายลูก ได้แก่ กฎกระทรวงและประกาศกระทรวงแรงงาน ที่จะต้องออกตามความในมาตราที่มีการแก้ไขยังไม่ออกมาใช้บังคับ จึงยังมีความคลุมเครือในระดับหนึ่ง ผู้เขียนแนะนำให้ท่านฝ่ายจัดการลองอ่านคำชี้แจงของกระทรวงแรงงานหนาประมาณ 50 หน้าดูก่อน จะได้เค้ารางของการแปลความกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ได้ไม่มากก็น้อย หากมีความชัดเจนในเรื่องนี้เมื่อใด ผู้เขียนขออาสาจะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านรับทราบในโอกาสต่อไป
แหล่งที่มา : www.jobdst.com